พระสงฆ์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางกฎหมาย “อปพส.” ดีเดย์14 พ.ย.’68 ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรีและ ครม.
🙏ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาพบว่า กระแสข่าวของพระสงฆ์ถูกสื่อมวลชนบางกลุ่มบิดเบือนนำเสนอข้อมูลเท็จทำให้พระสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันของพระพุทธศาสนา อันเป็น 1 ใน 3 เสาหลักสำคัญของประเทศไทย ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมายปรากฎผ่านหน้าสื่อต่างๆจำนวนมาก เช่น กรณีการนำเสนอข่าวของ “หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี” สื่อที่มีเรทติ้งสูงสถานีโทรทัศน์หลายแห่งได้นำเสนอว่า หลวงพ่ออลงกต มีภรรยา 4 คน และ ลูกอีก 1 คนโดยมีผู้ชมรวมกันหลักหลายล้านคน และ ได้เกิดศาลเตี้ย คือ กระแสสังคมพิพากษา 🙏🙏รวมทั้งนำมาสู่การจับกุมดำเนินคดี โดยอ้างว่าเกรงผู้ถูกกล่าวหาหนี หรือ มีพฤติกรรมก่อความวุ่นวาย และอาศัยอำนาจหมายศาลเข้าจับกุม โดยใช้ช่วงเวลาจับกุมในระหว่างการปล่อยข่าวเท็จออกสู่สังคม ในเวลาต่อมา มีการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอพบว่า เด็กที่ถูกกล่าวหามีดีเอ็นเอ ไม่ตรงกับหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ และ พบว่าท่านไม่ได้มีภรรยาตามที่ถูกกล่าวหา และ ที่สื่อนำไปออกข่าวแต่อย่างใด ซึ่งมีหลายกรณีที่พระสงฆ์ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบางคนมีกลุ่มสื่อบางกลุ่มอยู่ในมือ และร่วมกันนำเสนอข่าวเท็จ ทำให้เกิดศาลเตี้ย คือ ถูกสังคมพิพากษา รวมถึงเป็นเหตุนำไปสู่การแอบอ้างของตำรวจบางนาย เพื่อขอหมายศาล เพื่อนำไปสู่การจับกุมโดยอ้างอำนาจตามกฎหมาย และ ใช้ความได้เปรียบว่าตำรวจเป็นผู้ใช้กฎหมาย จึงใช้กฎหมายเข้าเบียดเบียนพระสงฆ์ให้ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างชัดเจน 🙏🙏🙏🙏@ “อปพส.” ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ดีเดย์ 14 พ.ย.นี้ องค์กรปกป้องเพื่อพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) นำโดย “นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล” เลขาธิการ อปพส. กำหนดวันยื่นหนังสือถึง “นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาลในประเด็น พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 ที่มีช่องโหว่ทางกฎหมาย ทำให้ตำรวจบางนายใช้มาเป็นข้อกล่าวหาพระสงฆ์ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นำมาสู่การจับสึก และ จับกุม คุมขัง รวมทั้งรุนแรงถึงขั้นไม่ให้ประกันตัว ทั้งนี้ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 เคยสร้างความเสียหายต่อพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) มาแล้ว โดยถูกจองจำในคุกนานถึง 4 ปี จนถึงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2509 ศาลกรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษาว่าพระพิมลธรรม หรือ จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา ศาลรู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระพุทธศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้นและคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลยพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่พระสงฆ์ติดคุกฟรีในข้อหาคอมมูนิสต์ ที่ยุคนั้นตำรวจใช้อำนาจจับกุมตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 พร้อมส่งตัวขึ้นศาลทหาร เมื่อท่านได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้ โดยไม่มีผู้ต้องหา และ หาผู้รับผิดชอบความเสียหายในคดีนี้ไม่ได้ เมื่อพระพิมลธรรมได้รับความเป็นธรรม และ ติดคุกฟรีไปแล้ว 4 ปี ด้วยอำนาจ พ.ร.บ.สงฆ์ ฉบับดังกล่าว ภายหลังท่านได้รับตำแหน่งคืนในตำแหน่งอธิบดีสงฆ์แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ และได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จนกระทั่งถึงแก่กาลมรณะภาพ เมื่อปี 2533 สิริอายุ 86 ปี ใน พ.ศ.2568 พบว่า ตำรวจบางนายในกองบังคับการปราบปรามมีการข่มขู่ผ่านสื่อว่า พระสงฆ์ที่ถูกจับกุมโดยกองบังคับการปราบปรามนั้น ห้ามประกันตัว เรียกว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ ตามหลักมนุษยธรรมสากล ที่นานาอารยาประเทศปฏิบัติกันว่า การต่อสู้คดีทางกฎหมายนั้น ให้จำเลยสามารถมีทนายความได้ และสามารถประกันตัวได้ แต่พระสงฆ์เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ใช่จำเลย กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐ คือตำรวจบางนายให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆว่า “อย่าคิดตั้งทนายสู้” รวมทั้ง ตำรวจบางนายที่ดำเนินการจับกุมพระสงฆ์สึก และ คุมขัง ไม่มีกำหนด โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้จำเลยหลบหนี ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน แต่ตำรวจนายนั้นลืมไปว่า พระสงฆ์ รูปนั้นๆที่ถูกจับกุม เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาตามกระบวนการตามกฎหมาย ยังไม่ใช่จำเลย ประเด็นข้ออ้างดังกล่าวยังมีการนำมาใช้กับการจับกุมตัวนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ โดยถึงขั้นตำรวจนำไปอ้างกับศาล เพื่อไม่ให้ประกันตัวในนัดแรก ส่งผลให้หมอบีถูกจับกุมคุมขัง 84 วัน โดยที่หมอบียังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่จำเลย 🙏🙏🙏🙏@พบกฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความคุ้มครองไปถึงจำเลยในคดีอาญา ขณะที่ตามข้อมูล ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกภาคี “กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง(ICCPR : International Covenant on Civil and Political Rights) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพหุภาคี สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติรับรอง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2519 โดยประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกในภาคีนี้ตามสนธิสัญญาโดยการภาคยานุวัตร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2539 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2540 ให้ต้องปฏิบัติตามพันธกิจภายใต้เงื่อนไขและะบทบัญญัติกติกา ข้อ 9 วรรค 3 บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการประกันตัวว่า “บุคคลใดที่ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวในข้อหาทางอาญา จะต้องถูกนำตัวโดยพลันไปยังศาล หรือ เจ้าหน้าที่อื่นที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะใช้ตุลาการ และจะต้องมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีภายในเวลาอันสมควร หรือ ได้รับการปล่อยตัว มิให้ถือเป็นหลักทั่วไปว่าจะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดีแต่ในการปล่อยตัวอาจกำหนดให้มีการประกันว่าจะมาปรากฎตัวในการพิจารณาคดีในขั้นตอนอื่นของกระบวนการพิจารณา และ จะมาปรากฎตัวเพื่อบังคับตามคำพิพากษาเมื่อถึงวาระนั้น 🙏ส่วนในความเห็นทั่วไปที่ 35 ระบุเกี่ยวกับเสรีภาพของบุคคล คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ( UN Human Rights Committee) อธิบายว่าการคุมขังบุคคลก่อน หรือ ระหว่างการพิจารณาคดี หรือ เรียกว่าเป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่กฎ (exception rather than the rule) 🙏แต่พบว่า นายตำรวจบางคนที่ดำเนินการไม่เป็นธรรมทางกฎหมายกับพระสงฆนั้น มีการใช้ช่องว่างในความเห็นดังกล่าวที่ระบุด้วยว่า การคุมขังบุคคลก่อน หรือ ระหว่างพิจารณาคดีไม่ควรเป็นการปฏิบัติทั่วไป การคุมขังดังกล่าวจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น(necessary) เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อไม่ให้จำเลยหลบหนี ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือป้องกันไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำ 🙏ขณะเดียวกันพบว่า นายตำรวจบางคนที่ไม่ให้ความเป็นธรรมทางกฎหมายกับพระสงฆ์ลืมไปว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การคุมขังบุคคลต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล (Individualized determination) โดยให้พิจารณาพฤติการณ์คดีและปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับคดีของแต่ละบุคคลว่า การคุมขังมีความจำเป็น (necessary) เพื่อบรรลุเป้าหมาย 3 ประการที่กล่าวมาข้างต้นหรือไม่ รวมทั้งในการพิจารณาการคุมขังจำเป็นหรือไม่นั้น ศาลต้องคำนึงว่า มาตรการอื่นนอกเหนือจาการคุมขัง เช่น การให้ประกันตัว, การบังคับให้ใส่กำไลอีเอ็ม (EM : electronic monitoring) หรือ การตั้งเงื่อนไขระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว และ วิธีอื่นๆอีกมากนั้น สามารถนำมาใช้ได้กับผู้ต้องหาหรือไม่ 🙏หากมาตรการเหล่านี้สามารถนำมาใช้ได้ การคุมขังก็ถือว่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป กฎหมาย และ ความเห็นดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าตำรวจไทยบางนายละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ถูกกล่าวหา และ ใช้อำนาจการเป็นเจ้าหน้ารัฐไม่ให้ความเป็นธรรมแก่พระสงฆ์ ซึ่งตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา และ ข้อกล่าวหาเหล่านั้น ไม่ได้ฆ่าคนตาย หรือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หรือ เป็นฆาตรกรต่อเนื่อง แต่การนำพระสงฆ์ที่ถูกตำรวจบางนายตั้งข้อกล่าวหาพบว่า ต้องถูกจองจำอยู่ในคุก เมื่อต่อสู้คดีชั้นศาลพบว่า ไม่พบความผิดใดๆ เลย ตามที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาไว้ และ ใช้อำนาจความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจับสึก และ จับกุมอย่างอุกอาจ สร้างความสลดใจแก่พุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย 🙏🙏🙏🙏@ พระสงฆ์ถูกสึกโดยตำรวจที่ตั้งตนเป็นโจทย์ พระถูกกล่าวหาเข้าคุกฟรี ใครรับผิดชอบ 🙏ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย เคยให้ความเห็นเมื่อ 4 ปีที่แล้วว่า คดีเงินทอนวัดที่เป็นข่าวสะเทือนใจชาวพุทธ สืบเนื่องจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดย พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ในขณะนั้นเป็นผู้ให้ข้อมูลไม่ถูกต้องนำไปสู่การร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมพระเถระผู้ใหญ่ระดับรองสมเด็จพร้อมกันถึง 3 รูป คือ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระพรหมดิลก พร้อมพระเจ้าคุณเลขา และ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศพร้อมพระระดับเจ้าคุณผู้ช่วยเจ้าอาวาส รวม 5 รูป ทั้งหมด 7 รูป ส่วนพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ท่านได้ขอลี้ภัยไปประเทศเยอรมัน 🙏แต่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ที่ผ่านมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อท.205/2561 มีคำสั่ง “ยกฟ้อง” ตัดสินให้เจ้าคุณสังคม อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ และ เจ้าคุณเทอด อดีตพระราชกิจจาภรณ์ วัดสระเกศให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเป็นการฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสำนักพุทธได้นำหลักฐานเป็นเช็คผิดฉบับ ผิดปีงบประมาณผิดโครงการมาฟ้อง เข้าใจกันง่ายๆ เรียกว่า “นำหลักฐานมาฟ้องเท็จ” ต่อมาแม้มีการขอศาลแก้ไขคำฟ้องใหม่ แต่ก็เป็นการแก้ไขคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับว่าจับพระไปขังคุกเปล่าๆ โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนมาก่อนใดๆ ทั้งสิ้น ศาลท่านพิจารณาว่าการดำเนินการทั้งหมด ถือว่า ไม่ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนมาก่อน จึงยกฟ้อง นับเป็นการสร้างความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ที่สำคัญชาวพุทธทั้งประเทศสะเทือนใจ พระสงฆ์ก็เสียขวัญกับเรื่องนี้มาก 🙏กรณีดังกล่าว พบว่าตำรวจซึ่งเป็นผู้คุมกฎหมาย ใช้กฎหมายไม่ให้ความเป็นธรรมแก่พระสงฆ์ และเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นต่อพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กลับหาผู้รับผิชอบไม่ได้แม้แต่ผู้เดียว ! 🙏🙏🙏🙏@ คดีล่าสุดตำรวจบางนายเล่นใหญ่ ไม่ให้ความเป็นธรรมทางกฎหมายแด่พระสงฆ์ 🙏ฝ่ายกฎหมายของ “อปพส.” ได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงตามกฎหมาย โดยยกตัวอย่างคดีล่าสุด ดังนี้ ในคดีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (ท่านเจ้าคุณแย้ม) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม กรณีถูกตำรวจบางนายเป็นโจทย์ กล่าวหากรณีสีกาเก็น ปรากฎว่า ในความจริงนั้น สีกาเก็นพร้อมพวกได้มีพฤติกรรมขู่กรรโชกทรัพย์พระสงฆ์จำนวนหลายรูปในวัดไร่ขิง จนต้องโอนเงินให้กลุ่มสีกาเก็นพร้อมพวก ซึ่งพบว่า วิธีการในการข่มขู่นั้นมีการใช้เอไอเข้าตัดต่อภาพและเสียงกล่าวหาเจ้าคุณแย้มว่ายักยอกเงินวัดเพราะเหตุติดพนันและเรื่องชู้สาว ซึ่งกรณีดังกล่าวพระสงฆ์ทั้งวัดไร่ขิง และ สหกธรรมิกของท่านเจ้าคุณแย้มทราบเรื่องมาโดยตลอดว่า ท่านเจ้าคุณแย้มแจ้งความสีกาเก็นพร้อมพวกที่สถานีตำรวจภูธรในท้องที่ที่เกิดเหตุ ซึ่งแจ้งความก่อนที่กองบังคับการปราบปรามอ้างว่า ได้มีการใช้สายสืบเข้าไปปลอมตัวเป็นคนกวาดวัดเพื่อนำพยานหลักฐานมาดำเนนคดีกับเจ้าคุณแย้ม 🙏ส่วนคดีที่ 2 ฝ่ายกฎหมายของ “อปพส.”ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและตามกฎหมายว่า กรณีวัดพระบาทน้ำพุพบว่า ทางกองบังคับการปราบปรามนำเรื่องที่หมดอายุความมาออกสื่อ โดยมีเจตนาทุจริตกลั่นแกล้งใส่ความวัด และ ใส่ความหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และใส่ความทุกองค์กรที่มีความเชื่อมโยงกับวัดพระบาทน้ำพุว่า ทำผิดคดีอาญาที่กองบังคับการปราบปรามมีสิทธิดำเนินคดีได้ ขณะที่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาอาญา มาตรา 39 บัญญัติว่า สิทธิการเอาคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับเมื่อคดีหมดอายุความไปแล้ว นั่นคือ สิทธิที่จะยกคดีขึ้นสืบสวนสอบสวนเพื่อฟ้องคดีอาญาต่อศาล ย่อมระงับไปแล้ว ทั้งสายสืบสวนสอบสวนจะยกเรื่องราวมาทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อฟ้องคดีไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว และ เรื่องคดีอาญาขาดอายุความเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนใครละเมิดย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างแจ้งชัด 🙏รวมทั้งยังพบว่าการทำงานของตำรวจบางนายในกองบังคับการปราบปรามมีการนำเรื่องราวอันเป็นเท็จทั้งสิ้นในวัด เพื่อทำลายหลวงพ่ออลงกตและทำลายวัดพระบาทน้ำพุในเวลาเดียวกัน และ ยังพบว่ามีการร่วมมือกับสื่อมวลชนไทยบางกลุ่มนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยเจตนาทำลายศรัทธาและความเชื่อแห่งพระพุทธศาสนา อันเข้าข่ายเจตนาทำลายพระพุทธศาสนาอันเป็นเสาหลักค้ำยันจริยธรรมของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน 🙏มหากาพย์การทำลายพระพุทธศาสนาที่ตำรวจบางนายในกองบังคับการปราบปรามได้ก่อเวรขึ้นแก่ตนเอง และมีทีท่าว่าจะไม่จบลงง่ายๆ เพราะการจับสึกพระแต่ละรูป ได้นำชื่อเสียงมาแก่ตำรวจที่ทำคดี นี่คือสิ่งที่พุทธศานิกชนพึงมีข้อมูลอย่างเท่าเทียมกันว่า วันนี้พุทธศาสนาเผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าสลดใจอย่างไร
MONK
Siriprapha Yenyodwichai
11/13/20251 min read

Peace prevails.
